เมื่อนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศจีน หลายๆ ท่านมักจะนึกถึง นครต้องห้าม ที่ตั้งอยู่ใจกลางของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน ที่เรารู้จักกันดีในนาม “พระราชวังต้องห้าม” นึกถึงกำแพงเมืองจีน ที่มีความยาวถึง 6,350 กิโลเมตร นึกถึง สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ นึกถึงภูเขาหินปูนที่สวยงาม อย่าง Karst Mountains ในเมืองหยางโจว ที่เรารู้จักกันดีในนาม "กุ้ยหลิน" ฯลฯ ถ้าเป็นมหานครก็คงไม่พ้น มหานครปักกิ่ง หรือมหานครเซี่ยงไฮ้ และเมื่อพูดเมืองเซียะเหมิน เมืองฉวนโจว หลายๆท่านก็อาจจะนึกไม่ออกว่าอยู่ส่วนใดของจีน และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจเช่นใดหรือมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ให้ไปเยือนบ้างหรือไม่
ในชายฝั่งด้านตะวันออกของจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งเป็นที่ราบต่ำ และมีแนวชายฝั่งยาวถึง 14,500 กิโลเมตร (ยาวที่สุดเป็นอันดับที่ 11 ของโลก) ซึ่งติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางใต้ และทะเลจีนตะวันออกทางตะวันออก นอกจากนี้ยังมีประเทศที่เป็นเกาะอยู่ใกล้เคียง ได้แก่ เกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวัน
ครับ...ผมกำลังจะพาเพื่อนๆ "บินลัดฟ้า...เลาะขอบทะเล แดนมังกร...เซียะเหมิน ฉวนโจว" ซึ่งทั้ง 2 เมือง เป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับต้นๆของประเทศจีนเลยก็ว่าได้ และยังเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดฮอตฮิต ที่คนจีนแผ่นดินใหญ่ นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวมากซะด้วย เมืองเซียะเหมินและฉวนโจว ตั้งอยู่ในมณฑลฝูเจี้ยน บริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแดนมังกร...เกาะผมแน่นๆ เราจะไปท่องเที่ยว เลาะขอบทะเล...แดนมังกร พร้อมๆกัน
เมื่อวันที่ 7-11 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปท่องเที่ยวจีนโดยเลือกใช้บริการสายการบินของคนไทย Thai Airways จาก การบินไทย นั่นเอง โดยผมสามารถจองตั๋วล่วงหน้าผ่าน เว๊บไซต์ของการบินไทยโดยตรง คือ www.thaiairways.com ซึ่งจองได้ง่ายมาก บินก็รู้สึกสบายใจ จ่ายก็สะดวก
ผมไปทริปนี้ได้ไปสัมผัสเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เลาะขอบเมืองชายฝั่งทะเล แดนมังกร ด้านตะวันออกเฉียงใต้ ในมณฑลฝูเจี้ยน(ฮกเกี้ยน) คือเมืองเซียะเหมินและฉวนโจว ทั้ง 2 เมืองเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับต้นๆของเมืองจีนก็จริง แต่ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งคนไทยหลายคนไม่มีโอกาสได้สัมผัส ทั้งๆที่ สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีความสวยงาม โรแมนติก มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์จีนอยู่มากมาย
การเดินทางครั้งนี้ ผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่มีเพื่อนร่วมเดินทางในทริปนี้ด้วยอีก 5 ท่าน คือ เจ้าของกิจการบริษัททัวร์ 2 บริษัท และ บล๊อกเก้อร์สายท่องเที่ยว จากเพจดัง อีก 3 ท่าน
เราพร้อมกันที่เค้าเตอร์ เช็กอิน ของการบินไทย ก่อนออกเดินทางด้วยเที่ยวบิน TG 610 โดยสายการบิน Thai Airways ในเวลา 10.40 น. ผมใช้เวลา เอกเขนก เพลิดเพลินกับภาพยนต์แอ๊คชั่นบนจอหลังเบาะนั่ง อิ่มหนำกับการบริการอาหารของพนักงานบนเครื่องบิน สายการบิน Thai Airways ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงประกาศแว่วๆ จากพนักงานบนเครื่องว่า ห้ามถ่ายภาพเหนือแผ่นดินในสนามบินเซียะเหมิน ห้ามนำ พืชผัก ผลไม้ ทุกชนิดผลิตภัณฑ์นมเข้าสู่สนามบินนั่นหมายความว่าเราใกล้บินลงสู่เซียะเหมินแล้ว
เราใช้เวลาบนเครื่องบินเพียง 3 ชั่วโมงกว่าๆ ล้อเครื่องบินก็แตะพื้น Take off ที่สนามบิน เซียะเหมิน ซะแล้ว ... ผมยกข้อมือมองดูนาฬิกาเพื่อเช็คเวลาในเมืองไทย บ้านเรา 14.15 น ที่เซียะเหมินเวลาท้องถิ่นอยู่ที่ 15.15 น. ที่นั่นเวลา ต่างจากเมืองไทยเรา 1 ชม และอุณภูมิขณะนั้นประมาณ 18 องศาเซลเซียส ถือว่ากำลังสบายๆ เลยหล่ะ
เราใช้เวลาบนเครื่องบินเพียง 3 ชั่วโมงกว่าๆ ล้อเครื่องบินก็แตะพื้น Take off ที่สนามบิน เซียะเหมิน ซะแล้ว ... ผมยกข้อมือมองดูนาฬิกาเพื่อเช็คเวลาในเมืองไทย บ้านเรา 14.15 น ที่เซียะเหมินเวลาท้องถิ่นอยู่ที่ 15.15 น. ที่นั่นเวลา ต่างจากเมืองไทยเรา 1 ชม และอุณภูมิขณะนั้นประมาณ 18 องศาเซลเซียส ถือว่ากำลังสบายๆ เลยหล่ะ
ที่สนามบินนานาชาติ เซียะเหมิน เราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพนักงานการบินไทย ที่เป็นสาวชาวจีน และโดยเฉพาะ คุณประเสริฐ ตันหรรษ์ ซึ่งเป็น General Manager ของ Thai Airways International เซียะเหมิน ก็ได้มาพบปะพูดคุยทักทาย พวกเราในคณะเดินทางครั้งนี้อย่างเป็นกันเอง
การเดินทาง ท่องเที่ยวลัดเลาะเมืองชายทะเล เซียะเหมิน-ฉวนโจว ในครั้งนี้เราเดินทางไปกับรถมินิบัส และมีไกด์สาวชาวจีน ที่ครั้งหนึ่งเคยประทับใจในการเดินขึ้นภูกระดึงบ้านเรา ชื่อน้อง ใบเตย จากบริษัท Xiamen C&D Intemational Travel Service Group Co.,Ltd. ซึ่งเป็นบริษัททำทัวร์ท่องเที่ยวครบวงจรขนาดใหญ่ของมณฑลฝูเจี้ยน และประเทศจีน เลยก็ว่า
การเดินทาง ท่องเที่ยวลัดเลาะเมืองชายทะเล เซียะเหมิน-ฉวนโจว ในครั้งนี้เราเดินทางไปกับรถมินิบัส และมีไกด์สาวชาวจีน ที่ครั้งหนึ่งเคยประทับใจในการเดินขึ้นภูกระดึงบ้านเรา ชื่อน้อง ใบเตย จากบริษัท Xiamen C&D Intemational Travel Service Group Co.,Ltd. ซึ่งเป็นบริษัททำทัวร์ท่องเที่ยวครบวงจรขนาดใหญ่ของมณฑลฝูเจี้ยน และประเทศจีน เลยก็ว่า
น้องใบเตย ไกด์สาวชาวจีนที่นำพวกเราเที่ยว เซียะเหมิน-ฉวนโจว
วันแรก เรายังไม่ได้พักที่เซียะเหมิน แต่เราเดินทางไปยังเมืองฉวนโจว การเดินทางออกจากเมืองเซียะเหมิน(เกาะ) เรานั่งรถลอดอุโมงค์ใต้ทะเลขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างเกาะเซียะเหมิน กับ เขตเซียงอัน มีความยาวทั้งสิ้น 8.7 กม. โดย 6 กม. จมอยู่ใต้ทะเลที่ระดับความลึกมากที่สุดที่ 70 เมตร โดยอุโมงค์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับให้สามารถวิ่งได้เร็ว 80 กม./ช.ม. ประกอบด้วย ช่องวิ่งรถถึง 3 เลน ทำให้ย่นระยะเวลาการเดินทางไปยัง ฉวนโจว ได้เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ก่อนจะเข้าสู่ฉวนโจว เราจะลอดอุโมงค์ ใต้ภูเขาอีกในระยะทางสั้นๆ ทำให้การเดินทางไม่ต้องอ้อมวกวน ไม่ต้องตัดต้นไม้บนเขาเพื่อทำถนนเหมือนบ้านเรา การเดินทางที่ประเทศจีนจึงค่อนข้างสะดวกสบาย เราใช้เวลาเดินทาง 100 กว่ากิโลเมตร จากเกาะเซียะเหมิน เพียง ชั่วโมงกว่าก็ถึง ฉวนโจว
อุโมงค์ลอดใต้ทะเลยาวทั้งสิ้น 8.7 กม.
เส้นทางจากเกาะเซียะเหมิน ไปสู่เมืองฉวนโจว
เย็นวันแรกของการเดินทาง สู่เมืองฉวนโจว ก่อนเข้าสู่ที่พัก กรุ๊ฟเรา 6 คนมีโอกาสได้ไปเดิน เลียบๆ เคียงๆ ดูฉวนโจว ในละแวกใกล้ๆร้านอาหารมื้อค่ำเพื่อรอเวลาโต๊ะว่าง
ฉวนโจว... ในวันแรก อากาศก็หนาวซะแล้วอุณหภูมิลดฮวบฮาบ ลงไปอยู่ประมาณ 7-8 องศา เห็นจะได้ เราเดินผ่านอาหารพื้นเมืองชนิดหนึ่ง เจ๊หงส์ เจ้าของบริษัททัวร์ซึ่งเป็นคนพื้นที่ เกิดที่เซียะเหมิน รีบรี่เข้าไป จัดแจง สั่งซื้อให้พวกเรากินกันถ้วนหน้า...เจ๊หงส์บอกว่า นี่คือหนอนทราย(ถูส่วนโต่ง) เป็นอาหารท้องถิ่นของที่นี่ มีกินเฉพาะในแถบเมืองริมทะเล...ผมมองดูแล้วคล้ายๆ วุ้น แต่ไอ้ตัวข้างในวุ้นนั้น ก็คือไส้เดือนดีๆ นี่เอง ฮ่าาาๆๆๆ แต่ไม่เป็นไร คนจีนเขากินได้ คนไทยอย่างผมก็กินได้เหมือนกัน...พอราดซอสเอาเข้าปาก โห!...อร่อยมว๊ากกก เคี้ยวกึ๊ดๆ นุ่มนิ่ม เหมือนเคี้ยววุ้นมะพร้าว แต่ไม่หวาน ออกเปรี้ยวซอส ที่ราดมากกว่า
ฉวนโจว... ในวันแรก อากาศก็หนาวซะแล้วอุณหภูมิลดฮวบฮาบ ลงไปอยู่ประมาณ 7-8 องศา เห็นจะได้ เราเดินผ่านอาหารพื้นเมืองชนิดหนึ่ง เจ๊หงส์ เจ้าของบริษัททัวร์ซึ่งเป็นคนพื้นที่ เกิดที่เซียะเหมิน รีบรี่เข้าไป จัดแจง สั่งซื้อให้พวกเรากินกันถ้วนหน้า...เจ๊หงส์บอกว่า นี่คือหนอนทราย(ถูส่วนโต่ง) เป็นอาหารท้องถิ่นของที่นี่ มีกินเฉพาะในแถบเมืองริมทะเล...ผมมองดูแล้วคล้ายๆ วุ้น แต่ไอ้ตัวข้างในวุ้นนั้น ก็คือไส้เดือนดีๆ นี่เอง ฮ่าาาๆๆๆ แต่ไม่เป็นไร คนจีนเขากินได้ คนไทยอย่างผมก็กินได้เหมือนกัน...พอราดซอสเอาเข้าปาก โห!...อร่อยมว๊ากกก เคี้ยวกึ๊ดๆ นุ่มนิ่ม เหมือนเคี้ยววุ้นมะพร้าว แต่ไม่หวาน ออกเปรี้ยวซอส ที่ราดมากกว่า
เจ๊หงส์กิน ถูส่วนโต่ง...หน้าตาฟินมาก
น้องใบเตย...พาเราเดินลัดเลาะฟุตบาตไปเรื่อยๆ มาเจอร้านอาหารร้านหนึ่ง เฮ้ย!...มีคนมากินเยอะมากกก...โต๊ะ ในร้านก็เต็ม แล้วยังยืนรอคิวอยู่หน้าร้านอีกหลายคน เขาขายอะไรกัน ตามนิสัยไทยมุงสไตล์บล๊อกเก้อร์เดินรี่เข้าไปดู เก็บภาพไว้เป็นหลักฐาน ว่าเขาขายอะไรกัน ...ชะโงกเข้าไปดูก็มองเห็นแต่หม้อๆๆๆๆ แล้วก็หม้อ แล้วมันมีอะไรในหม้อวะ...ผมชักสงสัย พอพี่ตี๋อีกคนเดินมาเปิดหม้อใช้กรรไกรตัด ชับๆๆๆ จึงรู้ว่าข้างในหม้อเป็นเป็ดอบหม้อดิน ส่งกลิ่นหอมฟุ้งฟิ้งไปทั่ว...เจ๊หงส์ อาซ้อใจดีคนพื้นที่เจ้าเก่า เดินเข้าไปสั่ง 1 ตัว ผมนึกในใจ อ่า!...อาหารค่ำเย็นนี้บนโต๊ะพวกเราคงได้ลิ้มรสเป็ดอบหม้อดินเคลือบ ของอร่อยแห่งเมืองฉวนโจว เป็นแน่แท้
ซาลาเปาลูกเล็กๆพอดีคำ
เป็ดอบหม้อดิน อาหารอร่อย เลิศรส ที่เมืองฉวนโจว
เราเดินผ่าน สถาปัตยกรรมทางศาสนาอิสลามที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง มีรูปแบบการก่อสร้างสไตล์อาหรับ น้องใบเตยเล่าให้พวกเราฟังว่า นี่คือ "มัสยิดชิงจิ้ง" เป็นมัสยิดเก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน มัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติสาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าเมืองฉวนโจวเป็นเมืองสำคัญของเส้นทางสายไหมทางทะเล เรามีโปรแกรมมาชมมัสยิดแห่งนี้อีกครั้ง ในตอนกลางวัน...เราจึงเดินผ่านมัสยิดนี้ไปยัง บริเวณศาลเจ้า ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมากนัก
มัสยิดชิงจิ้งในยามค่ำคืน
เดินจากมัสยิดชิงจิ้ง มาประมาณ 50 เมตร ผมก็พบกับศาลกวนยั่ว ศาลเจ้าที่ชาวฮกเกี้ยนนับถือ ที่นี่จึงมีประชาชน ชาวจีนมากราบไหว้อย่างมากมาย เพียงแค่ผมยืนอยู่ด้านหน้าศาลก็รู้สึกแสบตากับกลุ่มของควันธูปที่คละคลุ้ง ผมเลยขอเดินเก็บภาพบรรยากาศด้านหน้าศาล ไม่เข้าไปข้างในเพราะรู้สึกแสบตา กับกลุ่มควันธูปที่ลอยฟุ้งไปทั่ว
บรรยากาศหน้าศาลกวนยั่ว มีทั้งหมอดู พ่อค้าแม่ค้าที่เดินขายของ ที่นี่ขอทานก็เยอะ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก แปลกตาสำหรับผม
บรรยากาศหน้าศาลกวนยั่ว มีทั้งหมอดู พ่อค้าแม่ค้าที่เดินขายของ ที่นี่ขอทานก็เยอะ ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก แปลกตาสำหรับผม
บรรยากาศยามค่ำคืนบริเวณหน้าศาลกวนยั่ว ในเมืองฉวนโจว
เราเดินชมเมืองฉวนโจว ได้ไม่ไกลจากร้านอาหารมื้อค่ำมากนัก พอถึงเวลา อาหารจีนพื้นบ้านมื้อแรก พร้อมเป็ดอบหม้อดินที่เจ๊หงส์ สั่งใส่กล่อง มาให้พวกเราลิ้มลอง ก็พร้อมบนโต๊ะอาหาร ผมในฐานะบล๊อกเก้อร์สายท่องเที่ยว ไม่ถนัดถ่ายภาพเหมือนสายอาหารมากนัก งานนี้เลยถือโอกาสหัดถ่ายภาพอาหาร มาฝากเพื่อนๆ ซะเลย เดี๋ยวจะนึกภาพไม่ออกว่าหน้าตาอาหารในแต่ละมื้อ เป็นอย่างไรบ้าง และถ้าจะให้ผมจำชื่ออาหารแต่ละชนิดที่เจ๊หงส์สาธยายบอกพวกเราว่าอาหารชนิดนี่เรียกว่า...(ชื่อภาษาท้องถิ่น)คงไม่ไหว เพราะมากมายเหลือเกิน คงนำแต่ภาพมาให้เพื่อนๆชมกัน
บรรยากาศ ยามค่ำคืนที่ ฉวนโจว
อาหารค่ำมื้อแรก ที่เมืองฉวนโจว
อ่อ!...มีอีกเรื่องที่อยากเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง บนโต๊ะจีน ผมจะสังเกตุเห็นชุดถ้วยจาน แก้ว ตะเกียบ ถูกซีนพลาสติกมาวางไว้ให้อย่างสะอาดเรียบร้อยตามจำนวนคนบนโต๊ะ เจ๊หงส์เล่าให้ฟังว่า ชุดถ้วยจาน นี้ส่งมาจากโณงงานที่รับล้าง แล้วนำมาส่งตามร้านอาหารทั่วๆไป คือพอกินเสร็จพนักงานในร้านมีหน้าที่เก็บรวบรวมอย่างเดียว เดี๋ยวโรงงานมารับไปล้างแล้วจัดส่งมาตามจำนวนที่ทางร้านอาหารต้องการ...ผมว่าแบบนี้ก็ดีนะ ทำให้ผมเกิดไอเดีย อยากเปิดบริษัทรับล้างถ้วยจานแบบเมืองจีน เลยหล่ะครับ ฮ่าาาาๆๆ
ชุดถ้วยชามบนโต๊ะจีน ซีนมาอย่างเรียบร้อยจากโรงงาน
เช้าวันแรกที่...ฉวนโจวผมเปิดประตูออกมายืนสูดอากาศยามเช้า หน้าระเบียงห้องพักของโรงแรม Quanzhou Carp City Hotel มองลงดูตัวเมืองเก่าแก่สลับซ้อนกับตึกสมัยใหม่ จึงเห็นว่า ฉวนโจว ...ไม่ใช่เมืองใหญ่มากนัก แต่มีวัฒนธรรมอันยาวนาน รุ่งเรืองมาจากการเป็นเมืองประวัติศาสตร์ เป็นเส้นทางสายไหมทางทะเลของจีนแผ่นดินใหญ่
ด้วยฉวนโจวเป็น เส้นทางสายไหมทางทะเลที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญทางการค้าและการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ ระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกในสมัยโบราณ เริ่มต้นที่เมืองฉวนโจวมณฑลฝูเจี้ยนที่ทางชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของจีนนี่เอง ในทศวรรษที่ 13 เมืองฉวนโจวเคยเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของจีน และสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งของโลก ในเมืองฉวนโจวมีผู้คนจากชนชาติต่างๆ ประเทศต่างๆ และนับถือศาสนาต่างๆ มารวมตัวกัน ประวัติศาสตร์เช่นนี้เองทำให้เมืองฉวนโจวมีซากโบราณสถานจำนวนมาก ปัจจุบัน องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เมืองฉวนโจวเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมอันหลากหลายของโลกและพิพิธภัณฑ์ศาสนาของโลก
เบื้องหน้า ผมจึงมองเห็นโบสถ์คริสถ์ เห็นศาลเจ้า มัสยิด...ตั้งกระจายอยู่ในตัวเมืองทำให้เห็นชัดว่า ที่นี่เป็น เส้นทางสายไหมทางทะเล ที่สำคัญของชาวฮกเกี้ยน มาช้านาน จริงๆ
ด้วยฉวนโจวเป็น เส้นทางสายไหมทางทะเลที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญทางการค้าและการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ ระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกในสมัยโบราณ เริ่มต้นที่เมืองฉวนโจวมณฑลฝูเจี้ยนที่ทางชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของจีนนี่เอง ในทศวรรษที่ 13 เมืองฉวนโจวเคยเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของจีน และสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งของโลก ในเมืองฉวนโจวมีผู้คนจากชนชาติต่างๆ ประเทศต่างๆ และนับถือศาสนาต่างๆ มารวมตัวกัน ประวัติศาสตร์เช่นนี้เองทำให้เมืองฉวนโจวมีซากโบราณสถานจำนวนมาก ปัจจุบัน องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เมืองฉวนโจวเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมอันหลากหลายของโลกและพิพิธภัณฑ์ศาสนาของโลก
เบื้องหน้า ผมจึงมองเห็นโบสถ์คริสถ์ เห็นศาลเจ้า มัสยิด...ตั้งกระจายอยู่ในตัวเมืองทำให้เห็นชัดว่า ที่นี่เป็น เส้นทางสายไหมทางทะเล ที่สำคัญของชาวฮกเกี้ยน มาช้านาน จริงๆ
เมืองฉวนโจว มองจากระเบียงห้องพักของโรงแรม Quanzhou Carp City Hotel
โรงแรม Quanzhou Carp City Hotel
หลังอาหารเช้า ก่อนเดินทางไปยังอำเภอเต๋อฮั่ว ผมออกมาเดินเล่นหน้าโรงแรม สังเกตุเห็นนักเรียน และประชาชนชาวจีนปั่นจักรยาน ที่ทางรัฐบาลจัดไว้ให้ ถามไกด์ จึงรู้ว่า ทุกคนสามารถใช้จักรยานได้ เพียงแค่ทำบัตรและวางเงินมัดจำเพื่อประกันความเสียหายนิดหน่อย ก็สามารถนำจักรยานไปใช้ได้แล้ว ขั้นตอนนำไปใช้ก็เพียงใช้บัตร มาสแกนบาร์โค๊ตจักรยานทีล๊อกอยู่ก็จะเปิดล๊อกออก หรือจะนำมาเก็บ ก็ใช้วิธีล๊อกโดยบาร์โค๊ต อีกเช่นกัน...ผมไม่ทราบว่าที่เมืองไทย มีบ้างแล้วหรือยัง...สะดวกสบาย สำหรับประชาชนจริงๆครับ
จักรยาน ที่ทางรัฐบาลจัดไว้ให้ นักเรียน และประชาชนชาวจีนใช้
พบเห็นได้ทั่วไปตามที่สาธารณะ
มุ่งหน้าสู่อำเภอเต๋อฮั่ว
อำเภอเต๋อฮั่ว (德化县) ผมมีโอกาสเดินทางไปชมเซรามิกส์ที่อำเภอเต๋อฮั่ว...เมืองที่ได้รับการขนานนามว่า “เมืองหลวงแห่งเซรามิกส์ของจีน” ที่นี่มีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 88 ของเมืองฉวนโจว...
จากฉวนโจวเรามุ่งหน้าขึ้นไปทางตอนเหนือ สู่อำเภอเต๋อฮั่ว ระยะทางไกลพอสมควร นั่งรถเกือบครึ่งวันกันเลยทีเดียว ต้องลอดอุโมงค์ใต้เขาหลายอุโมงค์ วันนั้นอากาศทางเหนือของฉวนโจวหนาวมาก มิหนำซ้ำฝนยังตกอีก ทำให้เราพลาดไปชมโรงงานผลิตเซรามิกส์ อันเลื่องชื่อของเต๋อฮั่ว...แต่ก็มีโอกาสได้เดินชมและเลือกซื้อแก้วกาแฟเซรามิกซ์ รูปประธานเหมา กลับมาเมืองไทยหลายใบเหมือนกัน ซึ่งราคาก็ไม่แพงมากนักใบใหญ่มีฝากตกใบละ 10 หยวน คิดเป็นเงินไทยก็ 50 บาท ส่วนใบเล็กขนาดแก้วกาแฟ เอสเปสโซ่ 3 ใบ 10 หยวน ถูกมากๆ แถมคุณภาพดีอีกด้วย...ใครจะซื้อมาขายเมืองไทยผมว่า ขายได้ราคาแน่นอน
เมืองเต๋อฮั่วตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองฉวนโจวและตอนกลางของมณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการผลิตเครื่องเคลือบเซรามิกส์มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161 - 1450) เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2536 ได้มีการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์เครื่องใช้เซรามิกส์ระดับนานาชาติในอำเภอเต๋อฮั่วขึ้นเป็นครั้งแรก
จากฉวนโจวเรามุ่งหน้าขึ้นไปทางตอนเหนือ สู่อำเภอเต๋อฮั่ว ระยะทางไกลพอสมควร นั่งรถเกือบครึ่งวันกันเลยทีเดียว ต้องลอดอุโมงค์ใต้เขาหลายอุโมงค์ วันนั้นอากาศทางเหนือของฉวนโจวหนาวมาก มิหนำซ้ำฝนยังตกอีก ทำให้เราพลาดไปชมโรงงานผลิตเซรามิกส์ อันเลื่องชื่อของเต๋อฮั่ว...แต่ก็มีโอกาสได้เดินชมและเลือกซื้อแก้วกาแฟเซรามิกซ์ รูปประธานเหมา กลับมาเมืองไทยหลายใบเหมือนกัน ซึ่งราคาก็ไม่แพงมากนักใบใหญ่มีฝากตกใบละ 10 หยวน คิดเป็นเงินไทยก็ 50 บาท ส่วนใบเล็กขนาดแก้วกาแฟ เอสเปสโซ่ 3 ใบ 10 หยวน ถูกมากๆ แถมคุณภาพดีอีกด้วย...ใครจะซื้อมาขายเมืองไทยผมว่า ขายได้ราคาแน่นอน
เมืองเต๋อฮั่วตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองฉวนโจวและตอนกลางของมณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการผลิตเครื่องเคลือบเซรามิกส์มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161 - 1450) เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2536 ได้มีการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์เครื่องใช้เซรามิกส์ระดับนานาชาติในอำเภอเต๋อฮั่วขึ้นเป็นครั้งแรก
ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องใช้เซรามิกส์ของเมืองฉวนโจว อาทิ ถ้วย จาน ชาม ช้อน จานรอง ขวดโหล เป็นต้น จะได้รับความนิยมในตลาดนานาชาติและมีการส่งออกสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลีและอีกกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
ภายในอำเภอเต๋อฮั่ว มีถนนสายหนึ่งเป็นที่ตั้งของร้านขายผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ทั้งสาย เสียดายที่วันนั้นฝนตก ผมเลยเดินเก็บภาพมาฝากให้เพื่อนๆดู ได้น้อยมาก
ภายในอำเภอเต๋อฮั่ว มีถนนสายหนึ่งเป็นที่ตั้งของร้านขายผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ทั้งสาย เสียดายที่วันนั้นฝนตก ผมเลยเดินเก็บภาพมาฝากให้เพื่อนๆดู ได้น้อยมาก
เดินทางเข้าสู่อำเภอ เต๋อฮั่ว "เมืองหลวงแห่งเซรามิกส์ของจีน"
เซรามิกส์ ที่วางขายตามร้านค้า บางส่วน
เซรามิกส์ คุณภาพดีต้องใสขุ่น ส่องไฟแล้วไม่มีรอยหรือฟองอากาศ
ในเต๋อฮั่ว ตามท้องถนนมักพบเห็นรถไฟวิ่งกันหลายคัน
สาวน้อยเต๋อฮั่ว
ออกจากอำเภอเต๋อฮั่ว เราเดินทางต่อไปยังอำเภออันชี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตชาเถี่ยกวนอิน ชื่อดัง...เราแวะรับประทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งที่ร้านแห่งนี้ มีแต่เมนูอาหารท้องถิ่น อาหารโบราณซึ่งหากินได้ยากแล้วในเมืองจีน ข้าวที่นำมาเสริฟในกระบอกไม้ไผ่คล้ายบ๊ะจ่าง ในบ้านเราอร่อยมาก และอาหารแต่ละชนิดที่นำมาเสริฟ ก็ล้วนอร่อยคลาสสิคจริงๆ ...คือถ้าใครอยากกิน ต้องบินไปกลับไทยแอร์เวย์ เพื่อไปลิ้มลองอาหารอร่อยๆ นี้กันถึงฉวนโจวกันเลยทีเดียวหล่ะครับ
อาหารท้องถิ่นชาวจีนฮกเกี้ยน อร่อยมากครับ
ชาอู่หลง ที่ขึ้นชื่อส่วนใหญ่จะมีการซื้อขายในตลาดชา ของอำเภออานซี... ที่อานซี มีการรวมตัวของเกษตรกรผู้ผลิตชาที่มีรสชาดดีเพื่อส่งออกเป็นจำนวนมาก ...บนภูเขาสูงแห่งเมืองอานซี มีวัดอยู่วัดหนึ่ง ที่ชาวอานซี และชาวจีนในมณทลฝูเจี้ยน มีความเชื้อว่าศักดิ์สิทธิ์ ชาวจีนที่ทำธุรกิจผลิตชาเพื่อการส่งออกมักเดินทาง มาขอพร อธิฐานให้ประสบความสำเร็จ ในการค้าขาย ทำธุรกิจที่วัดบนภูเขาแห่งนี้ และทุกคนที่เดินทางมาขอพรมักประสบผลสำเร็จเสียด้วย...วัดแห่งนี้ชื่อ วัดชิงสุ่ย (Qingshui Yan Temple)
วัดชิงสุ่ย (Qingshui) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1083 ในสมัยราชวงค์ซ่ง ในปี ค.ศ.1101 หลวงพ่อเฉินปู่ซู (Puzu) ได้บูรณะวัดขึ้นมาใหม่ แล้วยังเปลี่ยนชื่อเก่าจากวัดเดิมชื่อ Zhang Yan เป็นวัดชิงสุ่ย ชาวฮกเกี้ยนให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อเฉินปู่ซู มากจึงสร้างพระรูปเหมือนองค์ใหญ่จากหินแกรนนิตของหลวงพ่อ ไว้เคารพบูชา ก่อนเดินขึ้นสู่วัด
วัดชิงสุ่ย (Qingshui) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1083 ในสมัยราชวงค์ซ่ง ในปี ค.ศ.1101 หลวงพ่อเฉินปู่ซู (Puzu) ได้บูรณะวัดขึ้นมาใหม่ แล้วยังเปลี่ยนชื่อเก่าจากวัดเดิมชื่อ Zhang Yan เป็นวัดชิงสุ่ย ชาวฮกเกี้ยนให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อเฉินปู่ซู มากจึงสร้างพระรูปเหมือนองค์ใหญ่จากหินแกรนนิตของหลวงพ่อ ไว้เคารพบูชา ก่อนเดินขึ้นสู่วัด
หลวงพ่อเฉินปู่ซู (Puzu) แกะจากหินแกรนนิต ก่อนขึ้นไปสู่วัดชิงสุ่ย
บนวัดชิงฉุ่ย (Qingshui Yan Temple) เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ ของเมืองอานซี ได้อย่างสวยงาม ถ้าวันไหน มีหมอกที่หนา พอมองลงไปเบื่องล่างที่เมืองอานซี จะสวยงามมาก ที่นี่จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และเป็นวัดที่ชาวจีนฮกเกี้ยนนิยมเดินทางมาขอพรและชมวิวบนเขาแห่งนี้
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของวัดแห่งนี้ ทำให้ชาวไต้หวัน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างชาวสิงคโปร์ มาเลย์ ยังเดินทางมาของพร รับน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดชิงสุ่ย แห่งนี้ด้วย
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของวัดแห่งนี้ ทำให้ชาวไต้หวัน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างชาวสิงคโปร์ มาเลย์ ยังเดินทางมาของพร รับน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดชิงสุ่ย แห่งนี้ด้วย
เส้นทางเดินขึ้นสู่วัดชิงสุ่ย
ชาวจีนที่เดินทางมาขอพรที่วัดชิงสุ่ย ต่างเข้าแถวยาวเหยียด เพื่อรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ไหลลงมาจากเขาสูง บางคนใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ลูบศรีษะ บางคนใช้ล้างหน้า มีบางคนที่กรอกใส่ขวดเพื่อนำกลับไปบ้าน ไกด์ได้บอกกับผมว่าในวันตรุษจีน ที่นี่จะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทางขึ้นเขามุ่งหน้าสู่วัดรถติดยาวเหยียด พอผมมาเห็นภาพ แม้จะเป็นวันธรรมดาในวันที่เราเดินทางมา ผู้คนก็ยังเยอะมากๆ
ชาวจีน เข้าแถวยาวเหยียดเพื่อรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ไหลลงมาจากเขาสู่ปากมังกร
ที่วัดชิงสุ่ย เมืองอานซี
วัดชิงสุ่ย ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาสูงริมหน้าผา มีลักษณะ 3 ชั้น ในรูปแบบอักษรจีน ที่มีความเป็นมงคล ที่หมายถึง จักรพรรดิ แต่ละชั้นล้วนถูกจัดวางด้วยเทพเจ้าอันเป็นมงคล ตามลักษณะฮวงจุ่ย ที่ดีของชาวจีน ...ผนังของวัดถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐสีแดงและกระเบื้องสีฟ้า ล้อมรอบไปด้วยต้นสนเขียวชอุ่มและกอไผ่สีเขียวมรกต ร่มรื่นสวยงาม
วัดชิงสุ่ย ที่ตั้งอยู่บนหน้าผา ของเขาสูง
มีการบริจาคทำบุญ กระเบื้องมุงหลังคา คล้ายวัดในไทย
เทพเฝ้าประตูก่อนเข้าสู่ วัดชิงสุ่ย (จตุรบาล)
ประชาชนชาวจีน ที่มีความเชื่อศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์
เดินทางมาขอพรที่วัดชิงสุ่ยอย่างมากมาย
ภายในวัดชิงสุ่ย มีเรื่องราวให้ชาวจีนได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์มากมาย เช่นต้นไม้โบราณ ต้นใหญ่ที่มีตำนานมากมาย เพราะกิ่งก้านของต้นไม้ ต้นนี้ได้ชี้ เลื้อยไปทางทิศเหนือ ตามตำนานกล่าวว่าลักษณะของต้นไม้ไม่พอใจ และทำนายไว้ว่าทางด้านเหนือในสมัยราชวงค์ซ่งจะเกิดภัยสงครามเกิดกบฏ และเกิดความอดอยากของประชาชน...กิ่งของต้นไม้ จึงเลื้อย ไปในทิศทางนั้นทิศทางเดียว
ต้นไม้ในตำนาน
บนวัดชิงสุ่ย
วัดชิงสุ่ย...เป็นสถานที่ ที่พวกเราไปเยี่ยมชมสุดท้ายของทริปในวันแรก ณ เมืองฉวนโจว พรุ่งนี้อีกทั้งวันที่เรายังลัดเลาะท่องเที่ยวฉวนโจว ที่นี่ยงมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่น่าสนใจอีกมาก ถึงมากที่สุด...เกาะผมให้แน่นๆ แล้วคอยติดตาม "บินลัดฟ้า...เลาะขอบทะเล แดนมังกร...@เซียะเหมิน-ฉวนโจว" ในตอนต่อไปครับ
ใครอยากบินไปเที่ยวเซียะเหมิน ฉวนโจว รีบจองตั๋วเครื่องบินด่วนเลยครับ...ผมจองผ่านเว๊บไซต์ นี่เลย สะดวกจริมๆ www.thaiairways.com จองง่าย จ่ายสะดวก จริงๆครับ
ใครอยากบินไปเที่ยวเซียะเหมิน ฉวนโจว รีบจองตั๋วเครื่องบินด่วนเลยครับ...ผมจองผ่านเว๊บไซต์ นี่เลย สะดวกจริมๆ www.thaiairways.com จองง่าย จ่ายสะดวก จริงๆครับ
ติดตามแฟนเพจเฟสบุ๊ค"ชายสามหยด"ได้ที่
https://www.facebook.com/soksagtravelling/
(เที่ยวซอกแซก ZogZagTravelling)
https://www.facebook.com/anontaseeha/
(ชายสามหยดพาเที่ยว)
https://www.facebook.com/soksagtravelling/
(เที่ยวซอกแซก ZogZagTravelling)
https://www.facebook.com/anontaseeha/
(ชายสามหยดพาเที่ยว)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น