วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กรุงเทพฯ...เดินเที่ยวซอกแซกถึงจะสนุก (ตอนที่ ๑)

เมื่อก่อนผมเป็นคนที่กลัวกรุงเทพฯ มาก กลัวที่เป็นเมืองใหญ่...กลัวหลงไปไม่ถูกไม่รู้จะไปทางไหน...กลัวการคมนาคม...กลัวผู้คนที่มากมาย...กลัวตำรวจล๊อคล้อถ้าจอดผิดที่ผิดทาง...กลัวโดนจับเมื่อเลี้ยวผิดเลน สาระพัดกลัวฯลฯ ก็กลัวตามประสาเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยเข้ากรุง

ถ้าไม่มีความจำเป็น...ผมเลือกที่จะเลี่ยงไม่เข้าไปในกรุงเทพฯ เด็ดขาด

ช่วงหลังๆ ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ บ่อยขึ้น เพราะลูกสาวเรียนที่นั่น  และลูกชาย ก็กำลังจะตามเข้าไปอยู่ที่นั่น อีกคน

ต่อไปผมคงเดินทาง ไปๆมาๆ ระหว่าง พัทยา-กรุงเทพฯ... กรุงเทพฯ-พัทยา ถี่มากขึ้น ถ้าเป็นภาษาแซวแถวบ้านนอกเขาก็จะพูดกันว่า... "ไปกรุงเทพฯ บ่อยเหมือนไปนา" กันเลยทีเดียว

การเดินทางจากพัทยาเข้ากรุงเทพฯ ของผมในช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยขับรถส่วนตัวเข้าไปเอง ส่วนใหญ่จะนั่งรถบัสปรับอากาศ แล้วไปลงเอกมัย หรือสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอุดมสุข จะไปไหนก็ต่อรถไฟฟ้าได้...สะดวกดี หรือถ้าจะไปฝั่งตลาดนัดสวนจตุจักร ก็นั่งรถบัสปรับอากาศจากพัทยาไปลงหมอชิตได้เลยเช่นกัน 

เดินซอกแซก...ชมกรุง

ผมมีความคิดอยากจะเดินชมเมืองกรุง มานานแล้ว อย่างน้อยก็ขอได้เดินเที่ยว เดินถ่ายภาพ รอบๆ "เกาะรัตนโกสินทร์" ก่อนเป็นอันดับแรก 

เพราะที่นี่ถือเป็นใจกลางของเมืองกรุง มีสถานที่ ที่น่าสนใจ ให้เที่ยวชมอย่างมากมาย

ผมลงรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่สถานีอโศก ต่อด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน เอ็มอาที มุ่งหน้าสู่สถานีปลายทาง หัวลำโพง...ผมกำลังจะไปเริ่ม เดินซอกแซก...ชมกรุง ที่นั่น



สถานีรถไฟหัวลำโพง


หัวลำโพง เป็นสถานีรถไฟเก่าแก่ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในปี พ.ศ.๒๔๕๓ สร้างเสร็จและเปิดใช้งานในปี พ.ศ.๒๔๕๙ เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก จากฝีมือช่างเอกในสมัยรัชกาลที่ ๕ มาริโอ ตามาญโญ่ นายช่างชาวอิตาลี ที่เป็นผู้ออกแแบก่อสร้าง

สถานีรถไฟหัวลำโพง มีลักษณะเป็นโดมสไตล์อิตาเลียนผสมกับศิลปะแบบเนอเรซองซ์

ที่นี่เป็นสถานีรถไฟหลักของประเทศไทย มีรถไฟมุ่งหน้าไปทุกภาคของประเทศ มีขบวนรถไฟเข้าออกตลอดทั้งวัน

ถ้าใครชอบถ่ายภาพแนววิถีชีวิตผู้คน หรือแนวสตรีทเหมือนผม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นสถานที่อันดับต้นๆ ที่ช่างภาพเลือกมาเดินเก็บภาพงามๆ ในสถานีรถไฟเก่าแก่แห่งนี้




โดยส่วนตัวผมชอบบรรยากาศในสถานีรถไฟหัวลำโพง... ที่นี่ผมได้เห็นความหลากหลายของผู้คน แล้วก็ยังคงมีความหลากหลายของอารมณ์อยู่อีกด้วย...  บางคนนอนหลับเพราะความอ่อนเพลียจากการเดินทางที่ยาวนาน... บางดูตื่นเต้นใจจดใจจ่อที่จะได้ไปเที่ยว...  บางคนตื่นเต้นดีใจที่ได้มาเห็นเมืองหลวงเป็นครั้งแรก...บางคนมีสัมภาระขนไปด้วยเยอะแยะมากมายเพราะกำลังจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด หรือบางคนก็มีท่าทางหงุดหงิดกับการนั่งรอ นอนรอรถไฟที่เดินทางมาช้ากว่ากำหนด

ภาพวิถีชีวิตของผู้คนที่มีหลากหลายอารมณ์ในสถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นภาพที่สวยงาม ในแต่ละวันไม่เคยซ้ำกัน เพราะหลายชีวิตผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน กันไปมาที่สถานีรถไฟแห่งนี้





ร้านกาแฟ บนระเบียงชั้นสองภายในโดมของหัวลำโพง คือจุดที่ผมมักไปนั่งจิบกาแฟ แล้วมองลงไปดูวิถีชีวิตที่หลากหลาย ที่มารวมกันอยู่ในโดมแห่งนี้

ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง...ทุกชีวิต ...มีความสวยงาม ที่หลากหลาย แตกต่างกันออกไป






จากหัวลำโพง...ซอกแซกไป...เยาวราช

ผมเดินออกจากหัวลำโพงข้ามถนนกรุงเกษม และถนนไมตรีจิตต์  แล้วเดินไปตามถนนพระรามที่ ๔ ผ่านตึกอาคารเก่ารกร้าง ที่ไร้การเหลียวแล จนกลายเป็นสถานที่แสดงงานศิลปะข้างกำแพง กราฟฟิตี้ หรือที่เรียกกันว่า สตรีทอาร์ต

ผมรู้สึกเสียดายตึกเก่าแก่ที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง น่าจะมีการอนุรักษ์ปรับปรุงพัฒนาให้สวยงามมากกว่านี้




เดินผ่านศาลเจ้าแห้งเจีย ไปจนถึงแยก แยกหนึ่ง พอผมอ่านป้ายชื่อแยกบริเวณนั้นทำให้ผมอดขำไม่ได้ และชี่อแยกนั้นยังทำให้ผมนึกถึงประโยคที่เคยท่องเล่นกันตอนเด็กๆแล้วทำให้คนฟัง คนท่องต่างก็หวาดเสียวไปตามๆ กัน ประโยคนั้นคือ...

"ยานัดหมอมีแก้ฝีแก้หิด ยานัดหมอชิดแก้หิดแก้ฝี " ฮ่าาาๆๆ หลายคนคงเคยท่อง

ผมกำลังยืนอยู่บริเวณ..."แยกหมอมี" 

ผมรู้มาว่าหมอมี และ หมอชิต มีตัวตนจริงๆนะครับ แล้วยังขายยาสมุนไพรประเภทยานัดกันจริงๆซะด้วย...ยิ่งหมอชิตนี้ในอดีตดังมากมีที่ดินมากมาย ที่เราคุ้นหูก็คือ สถานีขนส่งหมอชิต และสถานีโทรทัศน์ช่อง ๗ "วิกหมอชิต" ยังไงหล่ะครับ




ศาลเจ้าแห้งเจีย


"แยกหมอมี"  ในอดีตเรียกว่าสามแยก แต่ปัจจุบันกลายเป็นห้าแยกใหญ่จุดตัดถนนเจริญกรุง, ถนนพระรามที่ ๔, ถนนทรงสวัสดิ์ และถนนมิตรพันธ์ เป็นรอยต่อของเขตป้อมปราบ กับเขตสัมพันธวงศ์




ร้านขายยาสมุนไพร บริเวณแยกหมอมี

ลอดช่องสิงคโปร์...แยกหมอมี

บริเวณแยกหมอมี ผมไม่พลาดที่จะแวะเข้าไปนั่งกินลอดช่องสิงคโปร์ ที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับโรงหนังสิงคโปร์เมื่อในอดีต 

คำว่า ลอดช่องสิงคโปร์ คงมีหลายคน (รวมทั้งผมด้วย) คงคิดว่าน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศสิงคโปร์เป็นแน่แท้ แต่ผมขอบอกเลยครับว่าไม่ใช่ แท้จริงแล้ว ลอดช่องสิงคโปร์มีต้นกำเนิดมาจากเมืองไทยของเรานี่เอง และเกิดขึ้นที่ร้านลอดช่องสิงคโปร์แห่งนี้เป็นที่แรกอีกด้วย 

 ร้านลอดช่องสิงคโปร์ ที่แยกหมอมี คิดค้นขึ้น และ เริ่มขายมาจากในอดีตจนถึงวันนี้ก็กว่า ๖๐ ปีเข้าไปแล้ว 

ชื่อของร้านตั้งขึ้นตามชื่อโรงภาพยนตร์สิงคโปร์ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันในสมัยนั้น ทำให้คนที่มากินลอดช่องจึงเรียกกันว่า มากินลอดช่องที่หน้าโรงหนังสิงคโปร์ และเรียกกันสั้นๆ และกลายมาเป็นลอดช่องสิงคโปร์ จนถึงทุกวันนี้

ผมเดินมาร้อนๆ แล้วได้มีโอกาสแวะกิน ลอดช่องสิงคโปร์ เจ้าดังสูตรโบราณดั่งเดิมที่จัดเตรียมใส่ไว้ในแก้ว แก้วละ ๒๐ บาท รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันใด มีแรงเดินซอกแซกได้อีกไกลเลยครับ

อ่อ!!...ติดกับร้านลอดช่องสิงคโปร์ ยังมีร้านข้าวต้มกระดูกหมู ด้วยนะครับ เท่าที่ผมสังเกตุ คนเข้าไปนั่งกินกันเยอะเหมือนกัน ท่าทางน่าจะอร่อย แต่พอดีผมกินกาแฟ ขนมปังที่หัวลำโพง แล้วยังมานั่งซดลอดช่องสิงคโปร์อีก...เลยไม่ได้เข้าไปลองข้าวต้มกระดูกหมูหม้อใหญ่ ที่กินแนมกับปาท่องโก๋ ร้านข้างๆ ไว้โอกาสหน้า ก็แล้วกันครับ



ร้านลอดช่องสิงคโปร์ แยกหมอมี


ร้านข้าวต้มกระดูกหมู

คั้นกี่...น้ำเต้าทอง

เดินออกมาจากร้านลอดช่องสิงคโปร์ ขึ้นไปทางเยาวราช ไม่ถึง ๒๐ เมตร ผมก็มองเห็นน้ำเต้าทองใบใหญ่ ๒ ใบในร้านๆ มีผู้คนเดินเข้าไปซื้อน้ำอะไรสักอย่างยกดื่มแล้วก็เดินออกมา ผมอยากรู้ก็เลยอ่านป้ายดู ถึงรู้ว่าเป็นร้าน เครื่องดื่มยาสมุนไพรโบราณ...นั่นเอง

ร้านน้ำเต้าทองคั้นกี่ เป็นร้านเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ตรงแยกหมอมี มาอย่างยาวนาน 

น้ำที่มีชื่อในร้านของเค้าก็มีหลายตัว เช่น น้ำขม น้ำหวาน น้ำจับเลี้ยง น้ำใบบัวบัก น้ำมะขามป้อม

สรรพคุณ : ช่วยแก้ร้อนใน บำรุงสุขภาพ ปรับสมดุลหยินในร่างกาย แก้ไอ แก้เจ็บคอ บำรุงสมอง แก้ความจำ รักษาโรคกระเพาะ ขับปัสสะวะ


ร้านคั้นกี่ น้ำเต้าทอง

เดินซอกแซกสู่...เยาวราช

จากแยกหมอมี ผมเดินไปตามถนนทรงสวัสดิ์ ผ่านแผงพระเครื่องหลายเจ้า เซียนใหญ่ เซียนน้อยกำลังส่องพระกันเพลิน ถึงจะมีไม่มากแต่ก็ดูคึกคัก มีทั้งแผงใหญ่ แผงเล็ก ขาประจำ ขาจร

ผมไม่ได้ส่องพระนานแล้วเลยไม่ได้แวะเข้าไปดู




เดินถึงสี่แยกเฉลิมบุรี แล้วเลี้ยวขวา

ผมกำลังเดินอยู่บนถนนเยาวราช...ที่ได้รับการกล่าวขานและขนานนามว่าเป็น "ถนนมังกร"

ผมอยู่บนตัวมังกร...กำลังเดินเข้าไปสู่ท้องมังกร ครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แกลอรี่รูปภาพTiewZogZag