วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กรุงเทพฯ...เดินเที่ยวซอกแซกถึงจะสนุก (ตอนที่ ๑)

เมื่อก่อนผมเป็นคนที่กลัวกรุงเทพฯ มาก กลัวที่เป็นเมืองใหญ่...กลัวหลงไปไม่ถูกไม่รู้จะไปทางไหน...กลัวการคมนาคม...กลัวผู้คนที่มากมาย...กลัวตำรวจล๊อคล้อถ้าจอดผิดที่ผิดทาง...กลัวโดนจับเมื่อเลี้ยวผิดเลน สาระพัดกลัวฯลฯ ก็กลัวตามประสาเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยเข้ากรุง

ถ้าไม่มีความจำเป็น...ผมเลือกที่จะเลี่ยงไม่เข้าไปในกรุงเทพฯ เด็ดขาด

ช่วงหลังๆ ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ บ่อยขึ้น เพราะลูกสาวเรียนที่นั่น  และลูกชาย ก็กำลังจะตามเข้าไปอยู่ที่นั่น อีกคน

ต่อไปผมคงเดินทาง ไปๆมาๆ ระหว่าง พัทยา-กรุงเทพฯ... กรุงเทพฯ-พัทยา ถี่มากขึ้น ถ้าเป็นภาษาแซวแถวบ้านนอกเขาก็จะพูดกันว่า... "ไปกรุงเทพฯ บ่อยเหมือนไปนา" กันเลยทีเดียว

การเดินทางจากพัทยาเข้ากรุงเทพฯ ของผมในช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยขับรถส่วนตัวเข้าไปเอง ส่วนใหญ่จะนั่งรถบัสปรับอากาศ แล้วไปลงเอกมัย หรือสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอุดมสุข จะไปไหนก็ต่อรถไฟฟ้าได้...สะดวกดี หรือถ้าจะไปฝั่งตลาดนัดสวนจตุจักร ก็นั่งรถบัสปรับอากาศจากพัทยาไปลงหมอชิตได้เลยเช่นกัน 

เดินซอกแซก...ชมกรุง

ผมมีความคิดอยากจะเดินชมเมืองกรุง มานานแล้ว อย่างน้อยก็ขอได้เดินเที่ยว เดินถ่ายภาพ รอบๆ "เกาะรัตนโกสินทร์" ก่อนเป็นอันดับแรก 

เพราะที่นี่ถือเป็นใจกลางของเมืองกรุง มีสถานที่ ที่น่าสนใจ ให้เที่ยวชมอย่างมากมาย

ผมลงรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่สถานีอโศก ต่อด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน เอ็มอาที มุ่งหน้าสู่สถานีปลายทาง หัวลำโพง...ผมกำลังจะไปเริ่ม เดินซอกแซก...ชมกรุง ที่นั่น



สถานีรถไฟหัวลำโพง


หัวลำโพง เป็นสถานีรถไฟเก่าแก่ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในปี พ.ศ.๒๔๕๓ สร้างเสร็จและเปิดใช้งานในปี พ.ศ.๒๔๕๙ เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก จากฝีมือช่างเอกในสมัยรัชกาลที่ ๕ มาริโอ ตามาญโญ่ นายช่างชาวอิตาลี ที่เป็นผู้ออกแแบก่อสร้าง

สถานีรถไฟหัวลำโพง มีลักษณะเป็นโดมสไตล์อิตาเลียนผสมกับศิลปะแบบเนอเรซองซ์

ที่นี่เป็นสถานีรถไฟหลักของประเทศไทย มีรถไฟมุ่งหน้าไปทุกภาคของประเทศ มีขบวนรถไฟเข้าออกตลอดทั้งวัน

ถ้าใครชอบถ่ายภาพแนววิถีชีวิตผู้คน หรือแนวสตรีทเหมือนผม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นสถานที่อันดับต้นๆ ที่ช่างภาพเลือกมาเดินเก็บภาพงามๆ ในสถานีรถไฟเก่าแก่แห่งนี้




โดยส่วนตัวผมชอบบรรยากาศในสถานีรถไฟหัวลำโพง... ที่นี่ผมได้เห็นความหลากหลายของผู้คน แล้วก็ยังคงมีความหลากหลายของอารมณ์อยู่อีกด้วย...  บางคนนอนหลับเพราะความอ่อนเพลียจากการเดินทางที่ยาวนาน... บางดูตื่นเต้นใจจดใจจ่อที่จะได้ไปเที่ยว...  บางคนตื่นเต้นดีใจที่ได้มาเห็นเมืองหลวงเป็นครั้งแรก...บางคนมีสัมภาระขนไปด้วยเยอะแยะมากมายเพราะกำลังจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด หรือบางคนก็มีท่าทางหงุดหงิดกับการนั่งรอ นอนรอรถไฟที่เดินทางมาช้ากว่ากำหนด

ภาพวิถีชีวิตของผู้คนที่มีหลากหลายอารมณ์ในสถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นภาพที่สวยงาม ในแต่ละวันไม่เคยซ้ำกัน เพราะหลายชีวิตผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน กันไปมาที่สถานีรถไฟแห่งนี้





ร้านกาแฟ บนระเบียงชั้นสองภายในโดมของหัวลำโพง คือจุดที่ผมมักไปนั่งจิบกาแฟ แล้วมองลงไปดูวิถีชีวิตที่หลากหลาย ที่มารวมกันอยู่ในโดมแห่งนี้

ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง...ทุกชีวิต ...มีความสวยงาม ที่หลากหลาย แตกต่างกันออกไป






จากหัวลำโพง...ซอกแซกไป...เยาวราช

ผมเดินออกจากหัวลำโพงข้ามถนนกรุงเกษม และถนนไมตรีจิตต์  แล้วเดินไปตามถนนพระรามที่ ๔ ผ่านตึกอาคารเก่ารกร้าง ที่ไร้การเหลียวแล จนกลายเป็นสถานที่แสดงงานศิลปะข้างกำแพง กราฟฟิตี้ หรือที่เรียกกันว่า สตรีทอาร์ต

ผมรู้สึกเสียดายตึกเก่าแก่ที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง น่าจะมีการอนุรักษ์ปรับปรุงพัฒนาให้สวยงามมากกว่านี้




เดินผ่านศาลเจ้าแห้งเจีย ไปจนถึงแยก แยกหนึ่ง พอผมอ่านป้ายชื่อแยกบริเวณนั้นทำให้ผมอดขำไม่ได้ และชี่อแยกนั้นยังทำให้ผมนึกถึงประโยคที่เคยท่องเล่นกันตอนเด็กๆแล้วทำให้คนฟัง คนท่องต่างก็หวาดเสียวไปตามๆ กัน ประโยคนั้นคือ...

"ยานัดหมอมีแก้ฝีแก้หิด ยานัดหมอชิดแก้หิดแก้ฝี " ฮ่าาาๆๆ หลายคนคงเคยท่อง

ผมกำลังยืนอยู่บริเวณ..."แยกหมอมี" 

ผมรู้มาว่าหมอมี และ หมอชิต มีตัวตนจริงๆนะครับ แล้วยังขายยาสมุนไพรประเภทยานัดกันจริงๆซะด้วย...ยิ่งหมอชิตนี้ในอดีตดังมากมีที่ดินมากมาย ที่เราคุ้นหูก็คือ สถานีขนส่งหมอชิต และสถานีโทรทัศน์ช่อง ๗ "วิกหมอชิต" ยังไงหล่ะครับ




ศาลเจ้าแห้งเจีย


"แยกหมอมี"  ในอดีตเรียกว่าสามแยก แต่ปัจจุบันกลายเป็นห้าแยกใหญ่จุดตัดถนนเจริญกรุง, ถนนพระรามที่ ๔, ถนนทรงสวัสดิ์ และถนนมิตรพันธ์ เป็นรอยต่อของเขตป้อมปราบ กับเขตสัมพันธวงศ์




ร้านขายยาสมุนไพร บริเวณแยกหมอมี

ลอดช่องสิงคโปร์...แยกหมอมี

บริเวณแยกหมอมี ผมไม่พลาดที่จะแวะเข้าไปนั่งกินลอดช่องสิงคโปร์ ที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับโรงหนังสิงคโปร์เมื่อในอดีต 

คำว่า ลอดช่องสิงคโปร์ คงมีหลายคน (รวมทั้งผมด้วย) คงคิดว่าน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศสิงคโปร์เป็นแน่แท้ แต่ผมขอบอกเลยครับว่าไม่ใช่ แท้จริงแล้ว ลอดช่องสิงคโปร์มีต้นกำเนิดมาจากเมืองไทยของเรานี่เอง และเกิดขึ้นที่ร้านลอดช่องสิงคโปร์แห่งนี้เป็นที่แรกอีกด้วย 

 ร้านลอดช่องสิงคโปร์ ที่แยกหมอมี คิดค้นขึ้น และ เริ่มขายมาจากในอดีตจนถึงวันนี้ก็กว่า ๖๐ ปีเข้าไปแล้ว 

ชื่อของร้านตั้งขึ้นตามชื่อโรงภาพยนตร์สิงคโปร์ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันในสมัยนั้น ทำให้คนที่มากินลอดช่องจึงเรียกกันว่า มากินลอดช่องที่หน้าโรงหนังสิงคโปร์ และเรียกกันสั้นๆ และกลายมาเป็นลอดช่องสิงคโปร์ จนถึงทุกวันนี้

ผมเดินมาร้อนๆ แล้วได้มีโอกาสแวะกิน ลอดช่องสิงคโปร์ เจ้าดังสูตรโบราณดั่งเดิมที่จัดเตรียมใส่ไว้ในแก้ว แก้วละ ๒๐ บาท รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันใด มีแรงเดินซอกแซกได้อีกไกลเลยครับ

อ่อ!!...ติดกับร้านลอดช่องสิงคโปร์ ยังมีร้านข้าวต้มกระดูกหมู ด้วยนะครับ เท่าที่ผมสังเกตุ คนเข้าไปนั่งกินกันเยอะเหมือนกัน ท่าทางน่าจะอร่อย แต่พอดีผมกินกาแฟ ขนมปังที่หัวลำโพง แล้วยังมานั่งซดลอดช่องสิงคโปร์อีก...เลยไม่ได้เข้าไปลองข้าวต้มกระดูกหมูหม้อใหญ่ ที่กินแนมกับปาท่องโก๋ ร้านข้างๆ ไว้โอกาสหน้า ก็แล้วกันครับ



ร้านลอดช่องสิงคโปร์ แยกหมอมี


ร้านข้าวต้มกระดูกหมู

คั้นกี่...น้ำเต้าทอง

เดินออกมาจากร้านลอดช่องสิงคโปร์ ขึ้นไปทางเยาวราช ไม่ถึง ๒๐ เมตร ผมก็มองเห็นน้ำเต้าทองใบใหญ่ ๒ ใบในร้านๆ มีผู้คนเดินเข้าไปซื้อน้ำอะไรสักอย่างยกดื่มแล้วก็เดินออกมา ผมอยากรู้ก็เลยอ่านป้ายดู ถึงรู้ว่าเป็นร้าน เครื่องดื่มยาสมุนไพรโบราณ...นั่นเอง

ร้านน้ำเต้าทองคั้นกี่ เป็นร้านเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ตรงแยกหมอมี มาอย่างยาวนาน 

น้ำที่มีชื่อในร้านของเค้าก็มีหลายตัว เช่น น้ำขม น้ำหวาน น้ำจับเลี้ยง น้ำใบบัวบัก น้ำมะขามป้อม

สรรพคุณ : ช่วยแก้ร้อนใน บำรุงสุขภาพ ปรับสมดุลหยินในร่างกาย แก้ไอ แก้เจ็บคอ บำรุงสมอง แก้ความจำ รักษาโรคกระเพาะ ขับปัสสะวะ


ร้านคั้นกี่ น้ำเต้าทอง

เดินซอกแซกสู่...เยาวราช

จากแยกหมอมี ผมเดินไปตามถนนทรงสวัสดิ์ ผ่านแผงพระเครื่องหลายเจ้า เซียนใหญ่ เซียนน้อยกำลังส่องพระกันเพลิน ถึงจะมีไม่มากแต่ก็ดูคึกคัก มีทั้งแผงใหญ่ แผงเล็ก ขาประจำ ขาจร

ผมไม่ได้ส่องพระนานแล้วเลยไม่ได้แวะเข้าไปดู




เดินถึงสี่แยกเฉลิมบุรี แล้วเลี้ยวขวา

ผมกำลังเดินอยู่บนถนนเยาวราช...ที่ได้รับการกล่าวขานและขนานนามว่าเป็น "ถนนมังกร"

ผมอยู่บนตัวมังกร...กำลังเดินเข้าไปสู่ท้องมังกร ครับ



วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เที่ยวซอกแซก...วังเวียง สปป.ลาว (ตอนที่ ๔)

ไหลเรื่อยกับเรือคายัค...บนลำน้ำซอง

ยามแลงค่ำลง...น้ำซอง
โอ้...บริพันน้ำซองไหลผ่าน...ใสดี"
น้ำซอง...ไม่เกี่ยวกันกับ...น้ำซัน ในเพลง "กุหลาบปากซัน"...บทเพลงสุดคลาสสิคของชาวลาว ที่มีนักร้องไทยนำมาร้องหลายต่อหลายคนแต่อย่างใด ด้วยการออกเสียง "ซ.โซ่" ที่เหมือนกัน ทำให้ผมอดนึกถึงเพลงฮิตเพลงนี้ไม่ได้...บรรยากาศกลางลำน้ำซองมันพาไปจริงๆ
น้ำซองไหลเอื่อย...เรือคายัคและห่วงยาง ไหลเรื่อยตามแนวโค้งของลำน้ำ เว้นระยะห่างตามความต้องการที่จะสัมผัส ละเลียดชมริมฝั่งซองของแต่ละคนในมุมมองที่ต่างกัน  เบื้องล่างผืนน้ำซองมองดูใสจนเห็นก้อนกรวดหลากสีสงบนิ่งสะท้อนแสงแดดที่ร้อนแรงที่อยู่เหนือขุนเขาและผืนน้ำ
พันธุ์ไม้เขียวครึ้ม ที่มีลำต้นแปลกตาใช้รากชอนไชยึดเหนี่ยวไปตามซอกของเขาหินปูน ที่ตั้งตะหง่านดุจกำแพงยักษ์ริมฝั่งน้ำด้านขวามือ เหมือนกับว่าพวกเรากำลังจะล่องลอยเข้าไปสู่แดนแห่งเทพนิยาย หรือป่าดึกดำบรรพ์ที่ไหนสักแห่ง
ผมบอกน้องไกด์ชาวลาวที่มาทำหน้าที่เป็นกัปต้นคุมหางเสือเรือคายัคลำของผม พายช้าๆ เพื่อจะได้เก็บภาพบรรยากาศริมสองฝั่งลำน้ำซอง อันสวยงามตระการตาที่อยู่เบื่องหน้า
สองแม่ลูก มือใหม่หัดพาย คุณนายแมว(ภรรยา) และสาวจีม (ลูกสาว) เริ่มจะตั้งลำได้หลังจากที่พากันพายออกซ้ายที ขวาที บางครั้งก็หมุนวนอยู่กับที่ แต่ก็ไม่ได้เป็นการซีเรียสอะไร พวกเธอกับสนุกสนาน กับกิจกรรมใหม่ๆ ในการได้ล่องลำน้ำซองท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่ร้อนแรง



แดดบ่ายตกกระทบผิวหนัง ที่ไร้ครีมกันแดดป้องกัน ทำให้ผิวภายนอกเริ่มแสบร้อนจนผมต้องวักน้ำ ขึ้นมาลูบเพิ่มความเย็นอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ติดที่มีกล้องที่ห้อยอยู่บนคอเพื่อจะเก็บภาพสองริมฝั่งลำน้ำซอง ผมคงกระโดดเกาะเรือคายัคลอยคอ ไปตลอดลำน้ำแน่...แต่ความงามของสายน้ำขุนเขา ที่อยู่เบื้องหน้าก็มีส่วนทำให้รู้สึกเย็นสบาย และผ่อนคลายได้เช่นกัน
"เดี๋ยวเราแวะพักร้านอาหาร ที่อยู่เลยสะพานไม้ด้านหน้าครึ่งชั่วโมงนะครับ" เสียงน้องไกด์ชาวลาว ที่พูดภาษาไทยได้ชัดเจน มากกว่าคนไทยบางคนตะโกนบอกเรา
เรือคายัคลอยลำลอดผ่านสะพานไม้ ที่ถูกสร้างระหว่างรีสอร์ตและร้านอาหารริมซอง มีนักท่องเที่ยวสหชาติ กำลังสนุกสนานกับการเล่นน้ำที่ใสเย็น จนทำให้คุณนายแมวและน้องจีม อดใจไม่ไหว กระโดดลงจากเรือคายัค ลงไปนอนแช่น้ำซองเพื่อดับร้อนอย่างสบายใจ








หลังจากที่ไสเรือคายัคขึ้นไปเกยตื้นอยู่ริมตลิ่งของลำน้ำ ผมก็เดินไต่บันไดไม้ที่สูงชันขึ้นไปยังร้านค้าที่ตั้งอยู่เบื้องบนเพื่อตามหา เบยลาว ที่แช่นิ่งเย็นเจี๊ยบในตู้เย็นของร้านค้า มานอนจิบ บนเปลผ้าที่กางไว้บนเพิงยกพื้น ...
ผมนึกถึงสโลแกนในภาพยนต์โฆษณาเบียร์ยี่ห้อหนึ่งของไทย หลังจากที่ผมเอนตัวลงนอนแล้วจิบเบยลาวบนเปลผ้าใบ มองดูขุนเขาหินปูนที่ตั้งตะหง่านอยู่ริมลำน้ำซองเบื้องหน้า...พร้อมกับยิ้มให้มุมกระป๋องเบียร์ก่อนกระดก  แล้วค่อยๆกลืนลงสู่ลำคอ เพื่อไปหล่อเลี้ยงให้ความสุขที่มีอยู่แล้วจากการได้ท่องเที่ยว สมบูรณ์ยิ่งขึ้น..."ชีวิตเรา...ใช้ซะ"




บนร้านอาหาร มีนักท่องเที่ยวชาวยุโรป เกาหลี มาพักผ่อนก่อนหน้าพวกเรา กำลังสนุกสนานเฮฮา กับการเล่นสนุ๊กเกอร์ ที่ทางร้านมีไว้คอยบริการลูกค้าที่แวะเวียนขึ้นมา เพลงฝรั่ง ทำนองเร้กเก้ ถูกเปิดแทนเพลงประจำชาติคือหมอลำ...ทำเอานักท่องเที่ยวทั้งร้านดูคึกคัก รวมทั้งผม ที่อดใจไม่ไหวที่จะโยกตามจังหว่ะโจ๊ะของเพลงเร้กเก้มันๆ...จนลูกสาวทักว่า 
 "ตกลงพ่อกำลังเต้นเร้กเก้...หรือ กำลังเซิ้ง กันแน่"

https://www.facebook.com/video.php?v=478974092240792&l=623426627443169666
 (คลิกลิ้งค์ เพื่อชมคลิปเร้กเก้ลาว...ชายสามหยด ฮ่าาาๆๆ)



ดูเหมือนว่า เราสามคนจะมีโอกาสได้พักริมน้ำซองน้อยกว่านักท่องเที่ยวคนอื่นๆของกรุ๊ป เมื่อน้องไกด์ชาวลาวส่งเสียงเรียกให้ลงเรือคายัค เพื่อล่องลำน้ำซองต่อ
"พวกพี่ ซื้อแพ็คเก็ตไปเที่ยวต่อที่ บลูลากูน ด้วยไม่ใช่หรือครับ?...เราต้องเดินทางไปกันก่อนครับ เพื่อจะได้ต่อรถ และมีเวลาเล่นน้ำที่บลูลากูน นานหน่อย" น้องไกด์ อธิบายถึงเหตุผล ที่เรียกพวกเราลงเรือคายัคเร็วทั้งๆที่กำลังฟิล กับการนอนเอกเขนกบนเปล ในร้านอาหารที่พักริมน้ำ
คายัค ถูกปล่อยลอยลำไปเรื่อยๆ ตามความแรงของน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เพียงใช้พายทำเป็นหางเสือ เรือคายัคก็เลี้ยวซ้าย ขวา ไปตามต้องการ ก็มีบ้างในบางช่วงของลำน้ำซอง ที่มีมีเกาะแก่งหรือโขดหินเล็กๆโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาขวางทางเรือ ทำให้คายัคลอยขึ้นไปเกยตื้น ในบางเวลา หรือถ้าชำนาญหน่อยก็พายหลบหลีกกันเป็นที่สนุกสนาน





 

ลำน้ำซองมีบางช่วง ที่ดูไหลนิ่งๆ แต่ก็มีความลึกพอสมควร มีลูกทัวร์บางคนถึงกับต้องสละเรือลงไปลอยคอยว่ายน้ำเล่น โดยมีไกด์คอยพายเรือคายัค คอยดูแลลูกทัวร์อยู่ห่างๆ
ส่วนผมซึมซับกับทิวทัศน์ และวิถีของชาววังเวียงสองริมฝั่งลำน้ำซอง  ที่มีทั้งป่าสลับกับภูเขาสูง
ภาพวิถี ชาววังเวียงที่ใช้สวิงช้อนลงไปในน้ำเพื่อหา กุ้ง หอย ปู ปลา ในลำน้ำใสเป็นภาพที่หาดูได้ยากในสังคมเมือง ผมจึงไม่รีรอที่จะบันทึกภาพอันงดงาม ไว้เชยชม




อีกวิถีริมลำน้ำซอง

ร้านอาหารเครื่องดื่ม มีอยู่ตลอดของลำน้ำ ใครเหนื่อยก็พัก ใครกระหายก็แวะดื่ม อีกทั้งบ้านพักโอมสเตย์ รีสอร์ต ก็เริ่มมีให้เห็นอยู่มากมายเพื่อลองรับนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาดื่มด่ำความสุข ความงาม ที่จะได้รับจากวังเวียง
วิถีการหาปลาอีกอย่าง ขอชาววังเวียง ที่พบเห็นได้บ่อยคือการดำน้ำโดยการเอาเพียงหน้าจุ่มลงไปในน้ำ เพื่อยิงปลา เด็กๆที่นี้ นิยมมาดำน้ำยิงปลา หรือจับปลาที่อยู่ตามซอกหินนำขึ้นไปก่อไฟปิ้ง ย่าง ริมฝั่งร่วมวงกินกันอย่างสนุกสนาน  


ร้านอาหารที่พักริมฝั่งน้ำซอง มีให้เห็นอยู่ทั่วไป

นักท่องเที่ยวชาวยุโรป ชอบล่องห่วงยางมากกว่าพายเรือคายัค


วิถีดำจับปลา ของชาววังเวียง พบเห็นกันบ่อยในลำน้ำซอง


 
 


 



สองแม่ลูกพายคายัด เข้าไปติดเกาะแก่ง โขดหิน ในลำน้ำซอง เป็นที่สนุกสนาน

พี่ดำน้ำยิงปลา แล้วนำขึ้นมาปิ้งย่าง แบ่งปันริมฝั่งในน้องกิน เป็นภาพวิถีที่สวยงามริมน้ำซอง

 


เด็กเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

หาปลา ริมน้ำซอง

ทัวร์เกาหลี ไปท่องเที่ยววังเวียงกันมากขึ้น


เด็กๆ ดำน้ำหาปลา




วิถีชาววังเวียง กลางลำน้ำซอง


ก่อไฟเตรียมย่างปลา ที่หาขึ้นมาได้




ภาพที่เห็นชินตา ในน้ำซอง วังเวียง

หลังจากที่เราล่องเรือคายัคชมบรรยากาศเกือบสองชั่วโมง รวมระยะทางประมาณ ๑๐ กว่ากิโล เราก็มาถึงลำน้ำซองบริเวณตัวเมืองวังเวียงใกล้กับที่ ที่เราพัก เรือล่องมาได้สักพักก็ถึงท่าเทียบเรือหางยาวหลากสีสัน ก็มีรถกระป้อ มารอรับพวกเรา เพื่อไปเที่ยวที่ บลูลากูน กันต่อ



บรรยากาศริมน้ำซอง




ยังสนุก แม้แดดจะร้อน





ท่าเรือหางยาว ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวสำผัสลำน้ำซอง


 
นั่งรถกระป้อ ไปเที่ยว บลูลากูล กันต่อ

ความงามของวังเวียง ไม่ได้จบที่ลำน้ำซอง แต่ความงามผสมกับความตื่นเต้นโลดโผน ยังรอพวกเราอยู่ที่ "บลูลากูน" เราสามคน พ่อ แม่ ลูก กำลังจะไปสัมผัสที่นั้น ...ดูซิว่าทำไม นักท่องเที่ยวหลายคน บอกกันปากต่อปาก ว่าที่นี่เป็นสุดยอดแอดแวนเจอร์ ของวังเวียงกันเลยทีเดียว 


แกลอรี่รูปภาพTiewZogZag